The Expanse: Dulcinea สัญญาณขอความช่วยเหลือปริศนาและหญิงสาวที่หายไป
Season 1 / Episode 1

ตอนแรกของซีรี่ย์นั้นมากับฉากของหญิงสาวปริศนาที่ลอยเคว้งท่ามกลางสภาวะเกือบไร้แรงโน้มถ่วงของอวกาศอยู่ในห้องหนึ่งของยานลำหนึ่ง ที่ดูเหมือนเธอกำลังถูกขังอยู่ในห้องนั้นโดยไม่มีสิ่งใดเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตเลย นี่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกเหมือนกำลังมองดูเธอถูกฝังทั้งเป็น แม้ตอนนี้จะยังหายใจ แต่ไม่นานอากาศของเธอจะค่อย ๆ หมดลง น้ำย่อยในกระเพาะอาหารจะค่อย ๆ กัดกินผนังกระเพาะของเธอ เธอจะค่อย ๆ ตายอย่างช้า ๆ จากการขาดน้ำ ขาดอาหาร หรือขาดอากาศหายใจ ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งใดจะหมดไปก่อน เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่นั้นมีลักษณะต่างออกไปจากเสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตประจำวันบนโลก เนื่องจากต้องคำนึงถึงความคล่องตัว ภายหลังการทุบประตูและตะโกนขอความช่วยเหลือ เธอได้เปิดซองซองหนึ่งที่มีน้ำสองหยดลอยเคว้งออกมา เธอปล่อยให้มันรวมกันเป็นหยดเดียวและกลืนกินเข้าไป เมื่อดูจากเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่และการกระทำในฉากนี้แล้ว ดูราวกับว่าเธอเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศเป็นปกติและรู้วิธีเอาตัวรอดเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าเธอกำลังเสียเปรียบเพราะตื่นขึ้นมาในห้องสี่เหลี่ยมเล็กบนยานที่ตัวเธอเองก็อาจจะไม่รู้ว่ามันกำลังเดินหน้าไปที่ใดและมันพร้อมจะกลายเป็นโรงศพของเธอได้ทุกเมื่อ

เธอตื่นขึ้นมาอีกครั้งในห้องเดิม ออกแรงเตะ ถีบ และใช้ตัวชนกับประตูอยู่หลายครั้งจนประสบความสำเร็จ เธอเป็นอิสระอีกครั้งบนยานปริศนา ร่างกายของเธอลอยเคว้งออกมาตามแรง ในฉากนี้เราจะได้เห็นรองเท้าของเธอ ทันทีที่ไฟสีแดงขึ้นแจ้งเตือนว่ามันกำลังทำงาน ร่างของเธอที่ลอยคว้างก็ยืนได้ประหนึ่งมีแรงโน้มถ่วงเกิดขึ้นที่เท้าของเธอ แสงไฟจากยานทำให้เห็นคำว่า JULIE บนชุด ณ ตำแหน่งอกข้างซ้ายของเธอ และคำว่า SCOPULI เด่นหรา บริเวณกลางหน้าอก รอยเลือดและรอยขีดข่วนปรากฎขึ้นให้เห็นตามทางที่เธอเดิน ประตูสุดทางเดินที่เธอเปิดออกเผยให้เห็นถึงก้อนกลมขนาดมหึมาบางอย่างอันมีสายระโยงระยางกำลังกลืนกินร่าง ๆ หนึ่ง ก่อให้เกิดความตกใจสุดขีดจนเธอต้องหวีดร้องออกมา

ต่อมาซีรี่ย์ได้พาผู้ชมไปรู้จักกับ”ซีรีส”ดาวเคราะห์แคระห์อันเป็นสถานที่หนึ่งในเบลท์ผ่านมุมมองของ 2 ตำรวจนักสืบ โจซีฟัส มิลเลอร์ และ ดิมิทรี แฮฟล็อค พบกับชายคนหนึ่งกำลังปราศรัยบอกเล่าเรื่องราวความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของเบลท์เตอร์ซึ่งมีใจความว่า “ครั้งหนึ่งนานมาแล้วนั้น ซีรีสเคยถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง มีน้ำเพียงพอให้ใช้ชั่วอายุคนเป็นพัน ๆ รุ่น จนกระทั่งโลกและดาวอังคารมายื้อแย่งทรัพยากรอันทรงคุณค่านี้ไปเป็นของตนเอง ซีรีสกลายเป็นสถานีที่สำคัญที่สุดของเบลท์ในการขนส่งทรัพยากร แต่ทรัพยากรที่ไหลผ่านประตูสายนี้นั้นไม่เคยเป็นของเบลท์เตอร์เลย พวกเราทำงานอย่างหนักในการขนส่ง ขนสินค้าขึ้น ขนสินค้าลง ซ่อมท่อและส่วนต่าง ๆ เพื่อให้หินก้อนนี้ยังคงมีชีวิตและหายใจต่อไป พวกเราทั้งทุกข์ทรมานและสิ้นหวังจนราวกับว่าความรู้สึกเหล่านี้มันจะไม่มีวันหมดสิ้นไป คำถามคือพวกเราทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไร วันหนึ่งที่ดาวอังคารใช้กองกำลังยึดซีรีสไปจากโลก หรือโลกยึดซีรีสกลับมาครอง สำหรับโลกและดาวอังคาร พวกเราก็ยังคงเป็นทาสเสมอ พวกเขาสร้างแผงโซลาร์เซลขึ้นมาบนหลังของพวกเรา เชือดเฉือนชีวิตของพี่น้องเราไปนับพัน แต่สำหรับพวกเขา เราไม่มีค่าพอที่จะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ ทุก ๆ ครั้งที่เราร้องขอให้พวกเขารับฟัง พวกเขาจะเอาน้ำและอากาศของเราไปเสมอ จนกว่าพวกเราจะยอมคลานกลับลงรูไปและยอมทำตามที่พวกเขาสั่ง” ความโกรธเกรี้ยวของเหล่าเบลท์เตอร์ถูกขับออกมาพร้อมเสียงเฮให้กับการปราศรัยของชายคนนี้ กระดานการปันส่วนน้ำที่ปรากฎให้เห็นในฉากนี้กำลังยืนยันอีกเสียงต่อผู้ชมอย่างเรา ๆ ว่า เบลท์นั้นกำลังประสบปัญหาอย่างจริงจังกับการขาดแคลนน้ำ
มิลเลอร์ทักท้วงแฮฟล็อคที่กำลังยืนมองการปราศรัยให้ระวังท่าทีและสายตาของเขา ยังไม่ทันได้เดินออกจากฝูงชน มิลเลอร์ก็ถูกชายผู้ปราศรัยทักขึ้นด้วยชื่อเล่น ประหนึ่งว่ารู้จักกันดี เขาถามมิลเลอร์ต่อหน้าฝูงชนว่าเมื่อเวลามาถึง มิลเลอร์จะเลือกข้างใดและทิ้งท้ายก่อนปล่อยให้มิลเลอร์เดินจากไปด้วยคำว่า Welwala ซึ่งมีความหมายว่าผู้ที่หมกมุ่นอยู่กับแรงโน้มถ่วงของวัฒนธรรมของดาวเคราะห์ชั้นใน หรืออีกนัยหนึ่งก็คือพวกทรยศที่ไม่รักบ้านเกิด
แฮฟล็อคนั้นเป็นตำรวจหน้าใหม่ชาวโลกที่พึ่งมาทำงานที่ซีรีส ส่วนมิลเลอร์ เขาเป็นเบลท์เตอร์ เขาโชว์ให้แฮฟล็อคเห็นเบลท์เตอร์คนอื่น ๆ ที่ร่างกายได้รับผลกระทบจากการเติบโตในสภาวะเกือบไร้แรงโน้มถ่วง ไม่ว่าจะเป็นอาการมือสั่น ตาแดง ซึ่งเกิดจากร่างกายต่อต้านโกร์ทฮอร์โมน การโตมาในสภาวะเกือบไร้แรงโน้มถ่วงทำให้เบลท์เตอร์ส่วนมากมีรูปร่างผิดปกติไปจากชาวโลก ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูงที่สูงผิดปกติ แขนขาที่ยาวเก้งก้าง ด้วยความที่มิลเลอร์นั้นเป็นที่รู้จักของเบลท์เตอร์ทุกคน ในฉากนี้จึงมีเบลท์เตอร์คนหนึ่งรีบเข้ามาแทรกบทสนทนาระหว่างมิลเลอร์และแฮฟล็อค อาสาอธิบายความผิดปกติของร่างกายมิลเลอร์ว่า แม้มิลเลอร์จะดูเหมือนชาวโลกอย่างสมบูรณ์ภายใต้อาภรณ์ที่พยายามเลียนแบบแฟชั่นบนโลก แต่อันที่จริงแล้วบริเวณจุดเชื่อมเหมือนมีเดือยอยู่บริเวณกระดูกสันหลังและคอของเขาเกิดจากการฉีกโกร์ทฮอร์โมตั่งแต่เค้ายังเป็นทารกเพื่อช่วยในการเพิ่มมวลกระดูกที่ประสบผลสำเร็จนั่นเอง
Fun fact: ผู้อ่านหลายท่านอาจจะเริ่มสงสัยว่าแรงโน้มถ่วงที่เปลี่ยนไปมีผลต่อร่างกายมนุษย์จริงหรือ คำตอบคือใช่ ในสภาวะเกือบไร้แรงโน้มถ่วงนั้นระดับเม็ดเลือดแดงในร่างกายจะต่ำ มวลกระดูกจะลดลง นำไปสู่โรคกระดูกพรุน เช่นเดียวกันกับมวลกล้ามเนื้อ ที่จะนำไปสู่โรคกล้ามเนื้อลีบหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งกล้ามเนื้อหัวใจเป็นหนึ่งในกล้ามเนื้อส่วนสำคัญที่ได้รับผลกระทบนี้ อาจทำให้หัวใจทำงานผิดปกติ จนนำไปสู่โรคหัวใจหรือภาวะผิดปกติทางหัวใจที่ทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบประสาทที่ช่วยในเรื่องการทรงตัวของมนุษย์ ในภารกิจระยะยาวที่ส่งมนุษย์ออกไปปฎิบัติภารกิจในอวกาศ ร่างกายของนักบินอวกาศจะต้องเจอกับผลกระทบที่มากกว่าสภาวะเกือบไร้แรงโน้มถ่วง เช่น ผลกระทบที่เกิดจากรังสี ผลกระทบที่เกิดจากการสูญเสียนาฬิกาชีวิตที่ก่อให้เกิดภาวะการนอนหลับผิดปกติ อันก่อให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนต่าง ๆ ผิดปกติ นำพาไปสู่ความเครียด ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตตามมาได้อีกด้วย
คำพูดเหยียดหยามของเบลท์เตอร์ผู้มาแทรกบทสนทนาระหว่างมิลเลอร์และแฮฟล็อคยังไม่ทันจบ มิลเลอร์ก็ผลักเขาพร้อมบอกให้นำ OPA กลับไปที่เมดีซ่าและรอการปฎิวัติไปกับเหยื่อที่เหลือทุกคนเสีย โอพีเอ ในที่นี้ย่อมาจาก The Outer Planets Alliance เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันอย่างหลวม ๆ ภายใต้อุดมการณ์เดียวกันที่ต้องการจะสู้เพื่อเสรีภาพและผลประโยชน์ที่เบลท์เตอร์พึงจะได้รับ เนื่องด้วยจุดประสงค์ของพวกเขาที่ขัดกับผลประโยชน์ของกลุ่มปกครองดาวเคราะห์ชั้นใน จึงถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
ภายหลังกลับมายังสถานีตำรวจ มิลเลอร์ได้รับภารกิจในการตามหา จูลี่ เหมา ลูกสาวคนเล็กของ จูล เพียร์ เหมา มหาเศรษฐีจากโลก หนึ่งในซีอีโอของธุรกิจที่ทรงอำนาจที่สุดในระบบสุริยะ จูลี่นั้นขึ้นชื่อว่าเป็นแกะดำของครอบครัว ภายหลังเข้ามหาวิทยาลัยเธอได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับองค์กรชื่อ Far Horrizon เมื่อเดินทางมาถึงฉากนี้ผู้ชมจะรู้ได้ทันทีว่าจูลี่ เหมา คือคนเดียวกันกับหญิงสาวปริศนาในตอนต้นเรื่อง มิลเลอร์ที่ได้รับงานนี้ ไม่ได้ตื่นเต้นแต่อย่างใด เขากลับล้อเลียนมันว่าเป็นงานลักพาตัวด้วยซ้ำ

To be continue . . .